PHRA KHUN PAEN , Luang Pu TIM
(FIRST AGE 2503-2517) Wat
Laharai
Product: 000103
Price: 50,000.00 baht
"PHRA KHUN PAEN" Luang Pu "TIM"
(FIRST AGE 2503-2517) Wat
Laharai
Age 2503 Laung Pu TIM want to
creat Amulet hi power and great
fortune for give charitable
people come in the temple. He
has create PHRA KHUN PAEN take
to the carver to carve block
variety from stones and bring to
holy powder ,holy herb ,holy oil
and seven clay from holy place
come to mixs for make amulets
PHRA KHUN PAEN first time to
make have amulets not beutiful
he told bring all amulets leave
to canal but disciple want to
keep all amulets then call these
amulets "Phra Yon klong = leave
to canal"
Phra Yon Klong
Luang Pu TIM want to build
amulets second time by mix same
first time but add the
ingredients for hard and sticky
and add Powder pray kumar (bone
of baby).The creat by disciple
hand make when want to amulets
corlor bring to soak in corlor
herble water.When finish call
these amulet Phra Khun Paen
"Pray Kumar" and bring all
amulets keep in candy box.
keep to Candy Box
Later 2503-2508 he has creat
PHRA KHUN PAEN many type by
disciple hand make by main
ingredients is herb and powder
pray kumar and Age 2513 Mr. Say
Kaysawang creat block from brass
and make amulets from machine in
Age 2514-2515 by ingredients
same all make until 2517.
พ่อขุนแผน ผงพรายกุมารพิมพ์ใหญ่ 2516~2517
รหัสสินค้า: 000103
ราคา: 50,000.00 บาท
ยี่ห้อ: ขุนแผน
รุ่นพิมพ์นิยม หลวงปู่ทิม ระยอง
รุ่น: ขุนแผน
รุ่นแรก หลวงปู่ทิม ระยอง
รายละเอียด: พ่อขุนแผนผงพรายกุมารพิมพ์ใหญ่
พ่อขุนแผนผงพรายกุมารพิมพ์ใหญ่
บล็อกสอง บล็อกประสบกราณ์
เนื้อว่านดอกทอง สุดยอดว่านหายาก
พิมพ์ใหญ่พระเก่าเนื้อจะยุบยับมีมวลสาร
เก่าๆ ตามอายุพระ ปี2516~2517
มีขุนแผนไว้แคล้วคลาดปลอดภัย
องค์นี้มีพลอยเสกด้วย
องค์นี้ฝังตะกรุดคู่หายาก
@---------------------
ขอบคุณครับ
---------------------@
---------
เพื่อนๆท่านใดสนใจโทรติดต่อด่วนครับ
---------
--------------- พร บางระจัน
081-7842076 ----------------
ประวัติละหารไร่
วัดละหารไร่นี้ก่อตั้งเมื่อประมาณปี
พ.ศ.2354 โดยหลวงพ่อสังข์เฒ่า
รองเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่สมัยนั้น
เห็นว่าพื้นที่ทางฝั่งคลองด้านตรงข้ามทางทิศเหนือของวัดละหารใหญ่มีทำเลดีเหมาะแก่การปลูกพืชผัก
จึงได้หักล้างถางพงใช้เป็นพื้นที่ปลูกพืชผัก
ขึ้นแรกได้สร้างที่พักร่มเงาไว้เมื่อถึงเวลาเข้าพรรณา
ก็จำพรรษาที่วัดละหารใหญ่
ต่อมามีผู้คนไปทำไร่ในแถบใกล้ๆ
ที่นั้นมากขึ้น เห็นว่ามีพระสงฆ์อยู่
เมื่อถึงวันพระก็จัดภัตตาหารไปถวายเป็นประจำ
ต่อมาได้มีพระภิกษุไปอยู่เพิ่มมากขึ้น
จึงได้ก่อสร้างกุฏิวิหาร
พระสงฆ์ก็มาจำพรรษาที่นั่น
ตั้งชื่อว่า "วัดไร่วารี" ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น
"วัดละหารไร่"
โดยมีหลวงพ่อสังข์เฒ่าเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก
ในภายหลังทางวัดละหารไร่ได้มีพระภิกษุแก่อวุโสขึ้นหลวงพ่อสังข์เฒ่าจึ
มอบให้ปกครองกันเอง
ส่วนตัวท่านได้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่
(ทราบว่าภายหลังได้รับการนิมนต์จากเจ้าเมืองระยองไปเป็นเจ้าอาวาสวัดเก๋ง
จังหวัดระยอง) มอบหมายให้หลวงพ่อแดง
เป็นเจ้าอาวาสแทน
เต่มาได้มีเจ้าอาวาสอีกหลายรูปปกครองวัดละหารไร่
คือ หลวงพ่อเกิด หลวงพ่อสิงห์
หลวงพ่อจ๋วม
ต่อมาหลวงพ่อจ๋วมได้ลาสิกขาบท
ทำให้วัดละหารไร่ขาดพระภิกษุจำพรรษาเป็นเวลา
3 เดือน ในขณะนั้นหลวงพ่อทิม อิสริโก
(งามศรี)
ได้เดินทางกลับจากจังหวัดชลบุรี
พุทธศาสนิกชนบ้านละหารไร่จึงพร้อมใจกันนิมนต์เป็นเจ้าอาวาส
เมื่อประมาณปีพ.ศ. 2450
หลวงพ่อทิมจึงได้สร้างอุโบสถขึ้นหลังหนึ่งทำด้วยไม้
ปัจจุบันได้เลื่อนย้ายมาห่างจากที่เดิมประมาณ
20 วา และบูรณะให้อยูในสภาพเดิม
ข้อมูลประวัติ
เกิด
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2422
ตรงกับเดือน 7 ปีเถาะ
เป็นบุตรของ นายแจ้ง นางอินทร์
งามศรี
อุปสมบท
วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2449
ตรงกับขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีมะแม ณ
วัดละหารไร่
มรณภาพ
วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2518
รวมสิริอายุ 96 ปี 69 พรรษา
หลวงปู่ทิม
เกิดที่บ้านหัวทุ่งตาบุตร หมู่ที่ 2
ตำบลละหาร อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง
นามเดิมของท่านชื่อ ทิม นามสกุล
งามศรี เกิดเมื่อปีเถาะ วันศุกร์
เดือน 7 ตรงกับวันที่ 16
เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2422
เป็นบุตรของนายแจ้ นางอินทร์ งามศรี
มีพี่น้อง 3 คน หลวงปู่ทิมเป็นคนที่ 2
เมื่อตอนเด็กๆ
ท่านชอบออกเที่ยวล่าสัตว์ด้วยความคึกคะนองโดยนำมาเลี้ยงครอบครัวเรื่อยๆไป
พออายุได้ 17 ปี
บิดาของท่านได้นำตัวท่านไปฝากไว้กับท่านพ่อสิงห์ที่วัดเพื่อเล่าเรียนหนังสือกับท่าน
และอาจารย์อื่นๆ เป็นเวลาประมาณ 1 ปี
จนมีความสามารถเรียนรู้จนเข้าใจ
อ่านออกเขียนได้ดีแล้ว
บิดาของหลวงปู่ทิม
จึงได้ไปกราบนมัสการท่านพ่อสิงห์
เพื่อขอลานำหลวงปู่ทิมกลับมาอยู่บ้านเช่นเดิม
หลวงปู่ทิมก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำงานและหาเลี้ยงพ่อแม่ตามวิสัยลูกที่ดีมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ด้วยดีตลอด
จนกระทั่งอายุเข้า 19 ปี
ท่านจึงถูกคัดเลือกเข้าเป็นทหารประจำการ
ในสมัยนั้นได้เข้ามาประจำการ
อยู่ในกรุงเทพฯถึง 4 ปีเศษ
จึงได้รับการปลดประจำการ
จากทหารกลับไปอยู่ที่บ้านเดิม
เมื่อกลับมาอยู่บ้านแล้ว บิดาของท่าน
จึงได้จัดการอุปสมบทให้ท่านเป็นพระภิกษุทันที
หลวงปู่ทิม อุปสมบทเมื่อวันที่ 7
เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2449
ซึ่งตรงกับปีมะแม เดือน 6 วันเสาร์
ขึ้น 7 ค่ำ โดยมีพระครูขาว วัดทับ
มาเป็นพระอุปัชฌาย์
และพระอาจารย์สิงห์
เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอาจารย์เกตุ
เป็นพระกรรมวาจารย์ ณ
พัทธสีมาวัดละหารไร่
ได้ฉายาทางสงฆ์ว่า อิสริโก
หลังจากท่านได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว
ท่านก็ได้อยู่กับพระอาจารย์ที่วัดจนครบ
1 พรรษา
แล้วท่านก็ได้ขออนุญาตพระอาจารย์ของท่าน
กราบลาเพื่อออกธุดงด์ไปในหลายๆ
จังหวัด
เพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มขึ้นเป็นเวลา
3 ปีเต็ม
ครั้นเมื่อถึงเทศกาลใกล้เข้าพรรษา
ท่านก็กลับไปถึงจังหวัดชลบุรี
และท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนามะตูม
เป็นเวลาถึง 2 พรรษา
ท่านได้เที่ยวร่ำเรียนวิชากับเกจิอาจารย์ชื่อดังต่างๆ
หลายอาจารย์ด้วยกัน ที่เป็นพระก็มี
ฆราวาสก็มี ที่ท่านเล่าให้ฟังมี
โยมรอด โยมเริ่ม และ โยมสาย ทั้ง 3
คนเป็นฆราวาสที่มีวิชาอาคมสูงเป็นที่นับถือของชาวบ้านแถบนั้นมาก
จนกระทั่งท่านได้รับตำราตกทอดมาจากหลวงปู่สังข์เฒ่า
เจ้าอาวาสวัดเก๋งจีนในสมัยนั้น
หลวงปู่สังข์เฒ่ารูปนี้มีศักดิ์เป็นปู่แท้ๆ
ของท่าน
และเป็นพระปรมาจารย์ผู้เรืองอาคมอย่างยิ่งในสมัยนั้น
พร้อมกับเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งวัดละหารไร่ขึ้น
ขนาดน้ำลายของท่านทีถ่มออกมาโดนพื้นตรงไหนแล้วพื้นจะแตกทันที
เมื่อทางจังหวัดทราบถึงความเก่งกล้าทางวิชาอาคมของท่าน
จึงได้นิมนต์ให้ท่านมาอยู่ทีวัดเก๋งจีนและได้สร้างพระเนื้อตะกั่ว
วัดเก๋งจีน ขึ้นมาหลายพิมพ์ด้วยกัน
ซึ่งก็มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
หลวงปู่สังข์เฒ่า
ท่านได้ทิ้งตำรับตำราที่ท่านได้เขียนขึ้นไว้ในสมัยของท่านให้กับวัดละหารไร่
และก็ได้ตกทอดมาเป็นของหลวงปู่ทิมซึงเป็นหลานของท่าน
ใช้ศึกษาหาความรู้จากตำราของหลวงปู่สังข์เฒ่านี้
นอกจากนี้ หลวงปู่ทิม
ยังได้เรียนทางวิปัสสนากัมมัฎฐานกับพระอาจารย์อื่นๆ
อีกหลายรูปด้วยกันซึ่งต่อมาเมื่อท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดละหารไร่
ท่านก็เริ่มพัฒนาวัดโดยการก่อสร้างเสนาสนะบูรณะซ่อมแซมกุฏิ
และอื่นๆ อีกมากมาย
ญาติโยมทั้งหลายก็เริ่มมีความเลื่อมใสในตัวท่านมาก
เพราะท่านเป็นพระทีสมณะสำรวมเคร่งในธรรมะและวินัยเป็นที่น่าเคารพมาก
ต่อมาท่านจึงได้ชักชวนพวกชาวบ้านและญาติโยมทั้งหลายให้ก่อสร้างพระอุโบสถขึ้น
1 หลัง ในเวลาปีเศษๆ ก็เสร็จ
พร้อมกับผูกพัทธสีมาจนเป็นที่เรียบร้อยในเวลาเดียวกันหลังจากสร้างพระอุโบสถเสร็จ
และต่อมาท่านจึงได้ก่อสร้างโรงเรียนประชาบาลขึ้นอีก
1 หลัง
โดยที่ทางอำเภอและจังหวัดร่วมด้วย
ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 8
เดือนเท่านั้นก็แล้วเสร็จเรียบร้อย
เปิดให้นักเรียนเข้าเรียนได้ทันที
หลังจากนั้นท่านก็ได้ชักชวนชาวบ้านให้ช่วยกันพัฒนาก่อสร้างสะพานข้ามคลองอีกหลายแห่ง
และก็ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีทุกประการ
โดยมีหลวงปู่เป็นผู้นำพร้อมกับชาวบ้านจึงทำให้ชาวบ้านและญาติโยมทั้งหลายมีความเคารพนับถือเลื่อมใสในตัวท่านมากยิ่งขึ้น
จึงจัดได้ว่าหลวงปู่ทิมท่านเป็นพระนักพัฒนา
ที่มีความสามารถเป็นอย่างสูง
สมควรที่จะได้รับการเคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2478 หลวงปู่ทิม
จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวน
โดยได้รับการส่งหมายและตราตั้งมาไว้ที่ทางเจ้าคณะจังหวัด
แต่หลวงปู่ก็ไม่ยอมรับและไม่ยอมบอกใครๆ
ด้วยอญู่เป็นเวลานาน
ทางจังหวัดจึงได้มอบให้ทางคณะอำเภอเอามามอบให้ท่านที่วัดละหารไร่เอง
ท่านจึงได้รับเป็น พระครูทิม อิสริโก
และได้รับเป็นพระคู่สวด
อยู่มาจนถึงปี พ.ศ. 2497
ทางคณะสงฆ์จึงได้แต่งตั้งพระครูทิม
อิริโก
เลื่อนขั้นให้เป็นพระครูสัญญาบัตร
ท่านก็ไม่ยอมบอก ไม่อยากได้
ไม่ยินดียินร้ายกับใครอยู่เป็นเวลานาน
ญาติโยมที่วัดไม่มีใครทราบเรื่อง
จนทางเจ้าคณะอำเภอได้มีหนังสือส่งไปที่วัดจึงได้รับทราบกัน
นายสาย แก้วสว่าง ไวยาวัจกรวัด
จึงได้นำข่าวไปบอกแก่ชาวบ้านและกรรมการวัดละหารไร่ให้ทราบ
พร้อมกับจัดขบวนแห่มารับที่วัดเจ้าคณะจังหวัดโดยได้อาราธนานิมนต์หลวงปู่ทิม
มารับสัญญาบัตรพัดยศเป็น
"พระครูภาวนาภิรัต" เมื่อวันที่ 5
ธันวาคม พ.ศ. 2507
เมื่อหลวงปู่ทิม ได้เลื่อนขั้นเป็น
พระครูภาวนาภิรัตแล้ว
บรรดาศิษยานุศิษย์และชาวบ้านก็นัดประชุมกันเพื่อจะจัดงานฉลองสมณศักดิ์
โดยนายสาย แก้วสว่าง
เป็นผู้ขออนุญาตต่อหลวงปู่ว่า
"หลวงปู่จงอนุญาตพวกเราเถิด
อย่าปิดความประสงค์ของพวกญาติโยมเลย
ได้โปรดให้พวกญาติโยมได้แสดงความยินดี
และแสดงความกตัญญูกตเวทีตอบสนองซึ่งคุณงามความดีของหลวงปู่ด้วยเถิด"
หลวงปู่ทิมท่านขัดไม่ได้จึงอนุญาต
นายสาย แก้วสว่าง
ในฐานะไวยาวัจกรและศิษย์ใกล้ชิดจึงได้นัดประชุมกรรมการและชาวบ้าน
ปรึกษากันว่าจะจัดฉลองสมณศักดิ์และเพื่อหารายได้สบทบทุนในการก่อสร้างกุฏิ
และบูรณะซ่อมแซมสิ่งของที่ชำรุดในครั้งนี้
โดยจะขออนุญาตหลวงปู่ทิมเพื่อจัดทำเหรียญรูปเหมือนของท่าน
เอาไว้แจกแก่พวกญาติโยมและศิษย์ทั้งหลาย
เพื่อเป็นที่ระลึกในการร่วมกันทำบุญในงานวันฉลองสมณศักดิ์ของท่าน
เพราะใครๆ ก็ย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่า
หลวงปู่ทิมเป็นพระที่น่าเคารพบูชาอย่างยิ่ง
ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นในพระธรรมพระวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และเป็นพระมักน้อยสมถะ
ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
ฉันอาหารเจเป็นประจำ ฉันมื้อเดียว
ไม่เคยฉันเพลเลย แม้แต่น้ำชา
หรือน้ำเปล่า ท่านก็ต้องฉันตามเวลา
เท่าที่สังเกตดูปรากฎว่า
ท่านจะฉันเช้าประมาณ 7 โมงเช้า
และฉันน้ำชาเวลา 4 โมงเย็น
ถ้าเลยเวลาแล้วหลวงปู่จะไม่ยอมฉันเป็นเด็ดขาด
แม้แต่น้ำชา ท่านฉันมื้อเดียวมาตลอด
50 ปีแล้ว
โดยที่ไม่มีอาหารพวกเนื้อหมู เป็ด ไก่
หรืออาหารคาวทุกชนิดเลย
แม้แต่น้ำปลาก็ไม่เคยฉัน
อาหารที่ท่านฉันก็เป็นพวกผัก ถั่ว
หรือเส้นแกงร้อน น้ำพริกกับเกลือป่น
เป็นประจำอยู่เป็นนิจตลอดมา
เนื้อหนังมังสาและผิวพรรณของท่านก็คงเป็นปกติอยู่ตามเดิม
พละกำลังของท่านก็แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอไม่เปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้คงจะเป็นเพราะอำนาจบารมีของท่านที่เคยได้สร้างสมมาในชาติปางก่อน
จึงทำให้ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดและบริสุทธิ์ในธรรมวินัย
ดำรงชีวิตมาได้อย่างแข็งแรงและสมบูรณ์
หลวงปู่ทิม มีอายุได้ 96 ปี 72 พรรษา
ยังแข็งแรงสมบูรณ์
เดินไปไหนมาไหนได้สะดวก
ยังมองอะไรได้ชัดเจนดี
ฟันก็ไม่เคยหักแม้แต่ซี่เดียว
ถึงแม้ว่าอายุของท่านเกือบจะ 100
ปีแล้วก็ตาม
หลวงปู่ทิม ท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่
18 ตุลาคม พ.ศ. 2518
นับได้ว่าท่านเป็นพระอาวุโสและมีพรรษามากกว่าพระเกจิอาจารย์รูปใดๆ
ทั้งหมดในจังหวัดระยองเลยทีเดียว
วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
วัตถุมงคลท่านได้สร้างไว้หลายรุ่น
และหลายพิมพ์
แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ
พระขุนแผนผงพรายกุมาร
มีทั้งพิมพ์ใหญ่ และพิมพ์เล็ก
พระชุดชินบัญชร
ทั้งพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์
พระสงกัจจายน์ พระปิดตา
เหรียญเจริญพร
รวมไปถึงวัตถุมงคลรุ่น 8 รอบ
มีอีกหลายพิมพ์ เป็นต้น
พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา