名称 : 龙婆坤手印,脚印符布一套
#龙婆坤是泰国佛教近代三大圣僧之一,僧侣生涯中尤以招财及挡险法门见长而得名,特别是师傅的财富法门在近代招财助事业方面极为灵验,龙婆坤也因此被人誉为“活财神”。师傅在佛历2535至佛历2542这个阶段内曾制作了大量的佛牌圣物,部分是师傅自己寺庙主导法会的,也有部分是牌商或者善信要求特别制作的。这个时期是龙婆坤较为鼎盛的一个时期,制作的佛牌种类涵盖了招牌的自身像、药师佛、必打、善加财、佛祖等诸多圣物。
庙名 : Wat Ban Rai
制牌师傅 :"活财神"龙婆坤 LUANG PHOR KHOON
原料 : 布本,颜料,颜泥
佛历 : Be 2512
รุ่น: หลวงพ่อคุณ
ปี 2512
ยี่ห้อ: หลวงพ่อคุณ
ปี 2512
รายละเอียด:
หลวงพ่อคุณ ปี 2512
องค์ที่1องค์นี้พิเศษมีจารหลวงพ่อคูณ
อันดับที่ 3 :
เหรียญหลวงพ่อคุณรุ่นแรก ปี 2512
- ราคาเช่าอยู่ที่ประมาณ 400,000-500,000 บาท
(หากสภาพดี สมบูรณ์ ราคามีโอากาสเหยียบล้าน)
เหรียญรุ่นแรก ปี พ.ศ. 2512 ออกที่วัดแจ้งนอก
เหรียญรุ่นนี้ออกให้ประชาชนทำบุญบูชา เมื่อวันที่ 9
สิงหาคม พ.ศ. 2512 เป็นที่ระลึกงานฉลองพระประธาน
วัดแจ้งนอก จ.นครราชสีมา จำนวนสร้าง 10,000 เหรียญ แม้เหรียญหลวงพ่อคูณรุ่นแรก
วัดแจ้งนอก จะออกไม่ตรงวัด แต่หลวงพ่อคูณ
เมตตาปลุกเสกให้อย่างสมบูรณ์
โดยพุทธคุณโดดเด่นด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย
ซึ่งถือว่ารุ่น 1
ทำให้ท่านเริ่มเป็นที่รู้จักของประชาชน
จากเหตุการณ์ที่จ่าอากาศสังกัดกองบิน 3
จังหวัดนครราชสีมา ถูกพวกไม่หวังดียิงที่ อ.ท่าลาน
ถามแล้วได้ความว่าจ่าอากาศท่านนี้มีตะกรุดทองคำและเหรียญหลวงพ่อคูณในช่วง
พ.ศ. 2512 นั้น
การทำสงครามกับคอมมิวนิสต์มิใช่มีแต่เมืองไทย
หากแต่มีทั่วอินโดจีน
โดยมีสหรัฐอเมริกามาตั้งฐานทัพที่อุดร ตาคลี
ทหารอเมริกันที่ประจำหน่วยรบ
ส่วนมากมีเมียเช่าที่เป็นคนไทย
ทำให้ทหารตาน้ำข้าวรู้จักเหรียญหลวงพ่อคูณและนำติดตัวเวลาออกรบ
ประวัติ
ชาติภูมิ
หลวงพ่อคูณ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2466
ตรงกับแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน ที่บ้านไร่ หมู่ 6
ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา
ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ
เป็นบุตรชายคนโตของบุญ (บิดา) และทองขาว (มารดา)
ฉัตร์พลกรัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คนคือ
พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทโธ)
นางคำมั่น วงษ์กาญจนรัตน์
นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์
ทองขาวผู้เป็นมารดา เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์
กลางดึกของคืนวันหนึ่ง เวลาประมาณตี 3
เธอฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงงดงาม
ลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของเธอและกล่าวว่า
"เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง
ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
ทั้งยังสร้างคุณงามความดี มาตลอดหลายชาติ
เราขออำนวยพรให้เจ้า
และครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไป" และเทพองค์นั้น
ยังมอบดวงแก้วใสสะอาดสุกสว่าง ให้แก่เธอด้วย "ดวงมณีนี้
เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดีต่อไปภายหน้า
จะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร
เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญ
ที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง"
การศึกษา
บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง 3 คน
ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณกับน้อง ๆ
จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณมีอายุราว
6-7 ขวบ เข้าเรียนหนังสือกับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ,
พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม
นอกจากนี้ พระอาจารย์ทั้งสามยังมีเมตตา
อบรมสั่งสอนวิชาคาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ
ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย
นับว่าหลวงพ่อคูณมีความรู้ในวิชาไสยศาสตร์มาแต่บัดนั้น
อุปสมบท
หลวงพ่อคูณอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดถนนหักใหญ่ ตำบลกุดพิมาน
อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันศุกร์ที่ 5
พฤษภาคม พ.ศ. 2487[1] ปีวอก อุปัชฌาย์ให้ฉายาว่า ปริสุทฺโธ
หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว
ท่านฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์
ตำบลสำนักตะคร้อ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา
หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ
และวิปัสสนาธุระอย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์
ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง
จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คน และลูกศิษย์เป็นอย่างมาก
หลวงพ่อคูณอยู่ปรนนิบัติรับใช้ หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร
หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง
พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้เป็นเพื่อนกัน
ต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ
มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ
เวลาล่วงเลยมานานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่า
ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว
จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร
ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป แรก ๆ หลวงพ่อคูณก็ธุดงค์
จาริกอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกออกไปไกล
ๆ กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศกัมพูชา มุ่งเข้าสู่ป่าลึก
เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้น จากกิเลส
ตัณหา และอุปาทานทั้งปวง
สู่มาตุภูมิ
หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว
หลวงพ่อคูณจึงออกเดินทางจากประเทศกัมพูชาสู่ประเทศไทย
เดินข้ามเขตแดนทางจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา
กลับบ้านเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำริให้ก่อสร้าง
ถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างพระอุโบสถเมื่อ
พ.ศ. 2496 นอกจากนั้น หลวงพ่อคูณยังดำริให้สร้างกุฏิสงฆ์
ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่ออุปโภคและบริโภค
ทั้งจัดสร้างโรงเรียนวัดบ้านไร่
เพื่อการศึกษาของเยาวชนละแวกนี้อีกด้วย
คำสอน
10 คำคม "กูให้มึง"
ยิ่งเอามันยิ่งอด ยิ่งสละให้หมดมันยิ่งได้
กูให้พวกมึงรู้จักพอเพียง
กูทำดีเขาจึงให้ของดีกูมา
กูไม่เคยยินดียินร้ายในลาภยศสรรเสริญ
กูดีใจที่เกิดมาเป็นคนจนเพราะได้สร้างทานบารมี
ถ้ากูเกิดมาเป็นคนรวยป่านนี้ คำว่า บุญก็ไม่รู้จักกัน
เงินเป็นทาสกู กูไม่ยอมเป็นทาสเงิน
การทำตัวให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่นั้นง่าย
แต่จะสร้างสมบุญให้มีบารมีนั้นเป็นเรื่องยาก...ต้องเป็นผู้ให้ด้วยธรรมอันบริสุทธิ์จริง
กูจะทำให้ชาวบ้าน เพื่อตอบแทนข้าวน้ำ ที่เขาให้กูกินทุกวัน
เกิดมาแล้ว...รักความสงบ ให้มีศีลธรรมไว้ประจำใจทุก ๆ คน
โลกจะได้อยู่ชุ่มกินเย็น...
พระไม่ได้อยู่กับคนชั่ว แต่อยู่กับคนดี
ให้นึกว่าพระมากับเราจะทำชั่วไม่ได้ อย่าทำตัวผิดศีลธรรม
ผิดจารีตประเพณี
โดยเฉพาะการทำผิดกฎหมายบ้านเมืองให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท"
"คนเรา เมื่อมีเมตตาให้กับผู้อื่น ผู้อื่นเขาก็จะ
ให้ความเมตตาตอบสนองต่อเรา ถ้าเราโกรธเขา
เขาก็จะโกรธเราตอบเช่นกัน ความเมตตานี่แหละ คืออาวุธ
ที่จะปกป้องตัวเราเอง ให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง เป็นอาวุธที่ใคร
ๆ จะนำเอาไปใช้ก็ได้ จัดว่าเป็นของดีนักแล"
"...คนค้าคนขายยาบ้าเอาไปขังคุกขื่อคา มันไม่จำ
ยาบ้าเกิดที่ไหนดับที่นั่น
ฆ่าคนขายยาบ้าบาปเท่ากับตบยุงตาย 1 ตัว
มึงไม่ต้องไปกลัวมันหรอก อย่าให้มันอยู่รกแผ่นดิน
ไม่ต้องให้มันไปติดคุก มันก็ไปนอนกินยาบ้าในคุกสบาย
เดี๋ยวก็ออกทำเหมือนเดิม..."
สมณศักดิ์
12 สิงหาคม พ.ศ. 2535 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่
พระญาณวิทยาคมเถร
10 มิถุนายน พ.ศ. 2539
เป็นพระราชาคณะชั้นราชฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระราชวิทยาคม
อุดมกิจจานุกิจจาทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
12 สิงหาคม พ.ศ. 2547
เป็นพระราชาคณะชั้นเทพฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระเทพวิทยาคม
อุดมธรรมสุนทร ปสาทกรวรกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
มรณภาพ
เมื่อเวลาประมาณ 05:45 น. ของวันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.
2558 พนักงานพยาบาลที่ดูแลหลวงพ่อคูณอยู่ที่วัดบ้านไร่
พบว่าหลวงพ่อมีอาการหมดสติไม่รู้สึกตัว
จึงรีบแจ้งให้แพทย์จากโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
และโรงพยาบาลด่านขุนทดมาวินิจฉัยโดยด่วน
ซึ่งคณะแพทย์ตรวจประเมินว่า หลวงพ่อคูณหยุดหายใจ
และหัวใจหยุดเต้น จึงปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นสูง
อยู่เป็นเวลา 1 ชั่วโมง กระทั่งอาการทรงตัว
จึงใส่เครื่องช่วยหายใจ พร้อมทั้งเครื่องกระตุ้นหัวใจ
จากนั้นเมื่อเวลา 08:30 น. จึงรีบส่งเข้ารักษาต่อ
ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาโดยด่วน
พบว่ามีลมรั่วเข้าภายในปอดฝั่งซ้าย
และมีเสมหะอุดตันทางเดินหายใจ จึงให้หลวงพ่อพักรักษาตัว
ภายในหอผู้ป่วยวิกฤต (ไอซียู) โดยจัดคณะแพทย์และพยาบาล
เฝ้าระวังดูแลอาการอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากสัญญาณชีพของหลวงพ่อยังไม่คงที่
จากนั้นคณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช
เข้าร่วมทำการวินิจฉัยและรักษา
กับคณะแพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาด้วย ต่อมาเวลา 20:00
น. คณะแพทย์รายงานผลการตรวจรักษาหลวงพ่อว่า
สัญญาณชีพยังไม่คงที่ ต้องใช้ยากระตุ้นหัวใจ
และเครื่องช่วยหายใจ ขณะเดียวกัน
มีเลือดออกในทางเดินอาหารจำนวนมาก
ร่วมกับมีภาวะไตหยุดทำงาน
เป็นผลให้ไม่มีปัสสาวะออกจากร่างกาย
ทั้งนี้ภาวะผิดปกติที่แทรกซ้อนขึ้นทั้งหมด
เกิดจากปอดและหัวใจ หยุดทำงานเป็นเวลานาน และรุ่งขึ้น
(วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม) เมื่อเวลา 10:00 น.
คณะแพทย์ผู้รักษารายงานว่า มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น
เนื่องจากการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
เป็นผลให้มีเลือดออกในช่องทรวงอก
จึงทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น
คณะแพทย์จึงทำการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นสูง
สำหรับภาวะไตหยุดทำงาน
คณะแพทย์ใช้เครื่องไตเทียมทำการฟอกเลือด
จนกระทั่งเวลา 11:45 นาฬิกา คณะแพทย์ออกประกาศแจ้งว่า
พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ) มีอาการโดยรวมทรุดลง
จนกระทั่งถึงแก่มรณภาพลงขณะทำการรักษา
ภายในห้องอายุรกรรมผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
จังหวัดนครราชสีมา สิริอายุ 91 ปี พรรษา
71ซึ่งในการแถลงข่าวโดยคณะแพทย์ผู้รักษา เมื่อเวลา 12:15
น. น.พ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์อายุรกรรมหัวใจชำนาญการ
ผู้รักษาประจำของหลวงพ่อคูณ
ในสถานะหัวหน้าคณะแพทย์กล่าวว่า สาเหตุแห่งการมรณภาพ
เนื่องจากการหายใจหยุดลง เพราะมีลมรั่วเข้าไปภายในปอด
หรือที่เรียกว่าปอดแตก เป็นเหตุให้หัวใจหยุดเต้น
เนื่องจากคณะแพทย์ต้องช่วยปั๊มหัวใจ เป็นเวลานานถึง 1
ชั่วโมง ทั้งที่หากสมองขาดออกซิเจนเพียง 4 นาที
ก็เข้าสู่ภาวะวิกฤตแล้ว หลังจากนำหลวงพ่อมายังโรงพยาบาล
ก็พยายามช่วยกันเต็มที่ เมื่อเวลาประมาณ 05:40 น.
ยังต้องปั๊มหัวใจเพิ่มถึงสองรอบ แต่ด้วยความที่หลวงพ่อ
อยู่ในภาวะที่ไม่รับรู้ใดๆ นับแต่หมดสติที่วัดบ้านไร่แล้ว
เมื่อการหายใจหยุดลง และหัวใจหยุดเต้นเป็นเวลานาน
ก็ส่งผลให้อวัยวะอื่นๆ วิกฤตลงตามไปด้วย
คือเข้าสู่ภาวะสมองตายตั้งแต่แรก
ต่อมาแพทย์พยายามยื้อหัวใจ และต่อมาปอด จนมาถึงไต
แต่แล้วในที่สุด อวัยวะสำคัญก็ล้มเหลวลงทั้งหมด
หลวงพ่อจึงถึงแก่มรณภาพดังกล่าว
จากนั้นมีการเปิดเผยพินัยกรรม ซึ่งหลวงพ่อคูณทำไว้
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2543
มีใจความสำคัญระบุให้มอบสังขาร แก่มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ภายในเวลา 24 ชั่วโมงนับแต่มรณภาพ
แล้วให้ทางมหาวิทยาลัยมอบให้แก่ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัย เพื่อให้นำไปศึกษาค้นคว้า
ตามวัตถุประสงค์ของภาควิชา สำหรับพิธีกรรมทางศาสนา
และการสวดพระอภิธรรม ขอให้คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประกอบพิธีขึ้นที่คณะเป็นเวลา 7 วัน
ส่วนการประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล เมื่อสิ้นสุดการศึกษาค้นคว้า
ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยขอนแก่นแล้ว
ให้จัดอย่างเรียบง่าย ละเว้นการพิธีสมโภชใดๆ
ทั้งห้ามขอพระราชทานเพลิงศพ โกศ และพระราชพิธีอื่นๆ
เป็นกรณีพิเศษหรือเป็นการเฉพาะ โดยให้คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประกอบพิธีเช่นเดียวกับที่จัดให้แก่
อาจารย์ใหญ่ของนักศึกษาแพทย์ประจำปี
ร่วมกับอาจารย์ใหญ่ท่านอื่น แล้วเผาที่ฌาปนสถานวัดหนองแวง
(พระอารามหลวง) อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
(หรือวัดแห่งอื่น) และเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว
ขอให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำอัฐิ เถ้าถ่าน
และเศษอังคารทั้งหมด ไปลอยที่แม่น้ำโขง จังหวัดหนองคาย
ตามที่เห็นสมควรและเหมาะสม โดยมีสักขีพยานประกอบด้วย
รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
(ขณะนั้น), ญาติ, ไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ (ขณะนั้น)
และนิติกรชำนาญการ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ลงนามเป็นหลักฐาน
ทั้งนี้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด
ร่วมกันประชุมและลงมติให้ดำเนินการ
ตามพินัยกรรมฉบับดังกล่าวทุกประการ
โดยไม่มีการนำไปบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านไร่เสียก่อน
ดังที่มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งร้องขอแต่อย่างใด
ซึ่งมีการเคลื่อนสังขารของหลวงพ่อคูณ
ออกจากโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เมื่อเวลา 20:00 น.
โดยไปถึงศาลา 25 ปีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อเวลาประมาณ
22:00 น. เพื่อบรรจุสังขารลงในโลงแก้ว จากนั้นรุ่งขึ้น
(วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม) เวลาประมาณ 14:00 น.
คณะลูกศิษย์พากันจัดริ้วกระบวน
เพื่อเคลื่อนสังขารหลวงพ่อคูณ
ไปยังศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก
ภายในมหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้นเอง
เพื่อตั้งสังขารบำเพ็ญกุศลและสวดพระอภิธรรม เป็นเวลา 7 วัน
ตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม ซึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น
กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-23 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา
06:00-22:00 น. สำหรับสาเหตุที่ต้องเคลื่อนสังขารอีกครั้ง
เนื่องจากศูนย์ประชุมดังกล่าว
เป็นสถานที่กว้างขวางสะดวกสบาย สามารถรองรับพุทธศาสนิกชน
ซึ่งเดินทางมาสักการะสังขารอย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์
พระราชทานน้ำหลวงสรงศพ พวงมาลา 12 พวง
โดยมอบหมายให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ดำเนินการ
พร้อมทั้งพระราชทานโกศโถบรรจุศพ
พร้อมฉัตรเบญจาเป็นกรณีพิเศษ
Luang Por Koon was borned on Thursday, 4th October
BE2466. He was raised in a well off family. His
grandfather was an influential person and very
well-known in Nakon Raatchaseemah province. He also
known to have Wichah (magic power), and many people were
afraid of him.
When Luang Por Koon was 7 years old , his grandfather
brought him to study Thai and Pali under Ah Jahn Cheum,
Ah Jahn Saai and Pra Ah Jahn Lee in a temple near his
house. Luang Por Koon was ordained as a monk at the age
of 21 years old at Wat Thanon HakYai on 5th May BE2487.
Pra Kru Wijahn Dtigit was the preceptor. Pra Kru Atigahn
Torng Suk was his dhamma teacher. His monk's name is
Pisuttoh.
Luang Por Koon stayed in Wat Thanon HakYai to study
dhamma, in addition Luang Por Koon also learned under
Luang Daeng Wat Nong Poh. He learned dhamma, sammahdti
and Wichah (magic) from Luang Por Daeng.
Luang Por Koon was very diligent when studied under
Luang Por Daeng. Seeing that Luang Por Koon was so keen
in learning, Luang Por Daeng brought Luang Por Koon to
meet Luang Por Kong who was the abbot of Wat HatYai.
Then, Luang Por Koon became the disciple of Luang Por
Kong.
Luang Por Kong was a Pra Tudong (forest monk) and
brought Luang Por Koon to Tudong (forest dwelling).
Besides dhamma and sammahdti, Luang Por Kong also taught
Luang Por Koon Wichah (magic) on inserting takrut into a
person's arm. After learning from Luang Por Kong for
some time, Luang Por Koon went Tudong alone. He went as
far as Laos and Cambodia. He stayed in the deep forests
of Laos and Cambodia for many years.
During the rainy season, if Luang Por Koon was near
town, he would stayed in any one of the temple near town
to Khow Pansah (rainy season for a monk to stay
indoors), if he was still in the forest, he would stay
in the forest and continue his Tudong.
Luang Por Koon returned to Thailand after more than 10
years of Tudong, and reside at Wat Bahn Rai, Nakon
Raatchaseemah. The first time, Luang Por Koon came to
Wat Bahn Rai, the temple was in bad condtion. There was
only a old Salah (shether), Bot (hall) and Guti (place
where Buddha Statue will be placed).
Luang Por Koon seeing that was determined to re-build
this temple. He approached the abbot of the temple at
that time, and asked him for his help. The abbot told
him that the temple did not have much fund (only 10,000
bahts) and asked Luang Por Koon how much money he needed
to re-build the temple. Luang Por Koon replied that he
needed 3 to 4 million bahts. When the abbot heard that,
he said that he had no ability to help, though it was
his duties. Luang Por Koon, then asked the villagers and
his lay disciples to source for fund. Many people came
forward and helped. The total fund collected was almost
2 million bahts and Wat Bahn Rai was re-built. Luang Por
Koon was gradually gaining popularity in Nakon
Raatchaseemah.
Whenever, people heard Luang Por Koon wanted to build a
temple or a school, many people would come forward to
help. Luang Por Koon had built many schools, temples and
hospitals in Nakon Raachaseemah. The devotees who go to
Wat Bahn Rai, be it rich or poor, Luang Por Koon will
meet them personally and bless them. He would specially
make time for the poorer devotees, because to Luang Por
Koon, the poorer devotees need to earn a living, and
thus their time is more precious comparing to the richer
ones who had already have a stable livelihood.
Luang Por Koon chanted the most amulets in Thailand.
Many temples and people would create the amulets and
asked him to bless. He seldom rejected anyone when come
to him for blessings. Luang Por Koon is very good in the
Wichah of inserting takrut. He would personally insert
the takrut under the arm of the devotees, these takrut
are very well proven to protect a person from accidents,
Metta and as well as Kong Grapan (immunity from
weapons).Almost 20 years, Luang Por Koon had chanted and
inserted takrut, but now Luang Por Koon had stopped due
to poor health. However, he will still meet and bless
the devotees who go to Wat Bahn Rai to pay respect to
him.