พระกริ่งชัยวัฒน์หลวงปู่ดู่วัดสะแก ปี  2522

                             :: 泰国佛牌买卖-Budddhism amulet-Thai Buddha Amulets     โดย พร  บางระจัน  

TRAVEL TOOLS

 

id7500003000070


 


 

พระกริ่งชัยวัฒน์หลวงปู่ดู่วัดสะแก ปี  2522 พระกริ่งชัยวัฒน์หลวงปู่ดู่วัดสะแก ปี  2522 พระกริ่งชัยวัฒน์หลวงปู่ดู่วัดสะแก ปี  2522

 

พระกริ่งชัยวัฒน์หลวงปู่ดู่วัดสะแก ปี  2522

code: 000835

ราคา 50,000.00

 

พระชัยวัฒน์ปี 2522 เป็นพระอีกรุ่นหนึ่งของหลวงปู่ดู่วัดสะแก ที่มีเสน่ห์น่าค้นหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว พระองค์พิเศษๆในตำนาน วันนี้มาศึกษาความรู้กันโดย หลวงปู่ดู่ แชนแนล ครับ ว่าในพระรุ่นนี้มีความสุดยอดอย่างไรบ้างครับ


🙏
ว่าด้วยพระชัยวัฒน์ปี2522องค์ในตำนาน
เป็นที่ทราบกันดีว่าพระชัยวัฒน์ปี 2522 ของหลวงปู่ดู่นั้นเป็นพระรุ่นที่มีการทยอยเก็บกันเงียบๆมานาน เนื่องมาจากเป็นพระรุ่นที่หลวงปู่ดู่ท่านเมตตาจารให้ทุกองค์ แต่ยังมีราคาไม่แพง ที่สำคัญคือของปลอมของเลียนแบบนั้นทำออกมาไม่ดี หรือที่เรียกกันในวงการว่า "เก๊ห่าง" พระรุ่นนี้จึงเป็นอีกรุ่นที่คาดการณ์กันว่ายังมีพื้นที่ในการสะสมบูชา ในอนาคตจะต้องหายากมากแน่นอน
พระชัยวัฒน์รุ่นนี้นั้นจัดสร้างเป็นเนื้อเงินทั้งสิ้น 216 องค์ เนื้อโลหะผสม 3000 องค์ ทว่ามีพระที่มีการจัดสร้างไว้เป็นพิเศษไว้เช่นกัน ซึ่งเป็นที่นิยมสะสมกันมาตั้งแต่สมัยมีการสะสมพระเครื่องหลวงปู่ดู่ในยุคแรกๆ นั่นคือพระชัยอุดกริ่ง และอุดผงพุทธคุณนั่นเอง
อนึ่ง จากประสบการณ์ของผู้เขียนพระชัยวัฒน์ปี2522
☑️หากเป็นเนื้อเงินแบบพิเศษจะพบมากที่เป็นก้นอุดผงพุทธคุณในองค์ที่มีที่ว่างบริเวณใต้ฐานหลวงปู่ดู่ท่านจะเมตตาจารให้เป็นพิเศษ
☑️ส่วนเนื้อโลหะผสมจะเป็นการอุดกริ่งเสียส่วนมาก เมื่อเขย่าจะมีเสียงดัง (ในองค์ที่ไม่ดังอาจเกิดจากเม็ดกริ่งไปติดอยู่ตามซอกต่างในองค์พระก็เป็นได้) พระชัยวัฒน์เนื้อโลหะผสมปี 2522 แบบอุดกริ่งนั้นหลวงปู่ดู่ท่านจะเมตตาจารใต้ฐานอย่างเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าจารแบบอลังการสุดๆ บางองค์มีการตอกโค้ดกำกับเรียกได้ว่าเป็นที่สุดแห่งวัตถุมงคลของท่านอีกรุ่น
จำนวนการสร้างพระชัยวัฒน์อุดผง และอุดกริ่งนั้นสร้างไว้จำนวนน้อยมาก หมุนเวียนในวงการในรอบสิบปีที่ผ่านมานั้นแทบนับองค์ได้ วันนี้หลวงปู่ดู่แชนแนลได้นำภาพที่ได้เก็บรวมรวมไว้มาลงให้ได้ชมกัน พร้อมกับพระชัยก้นอุดกริ่งเนื้อโลหะผสมตอกโค้ด จารพิเศษ องค์หน้าใหม่ของวงการ ซึ่งเป็นพระที่สวยสุดยอด
หลวงปู่ดู่แชนแนลขอกราบขอบพระคุณท่านเจ้าของพระทุกองค์ที่ได้นำมาให้ข้อมูลความรู้ในวันนี้เนื่อมาจากพระทุกองค์นั้นมีผู้ที่มีบารมีเหมาะสมได้บูชาไปแล้วทั้งสิ้น จึงกราบขออนุญาตทุกท่านนำภาพมาลงเป็นวิทยาทาน

ประวัติหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ 

ชาติภูมิ  

                พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มีชาติกำเนิดในสกุล “หนูศรี” เดิม ชื่อ ดู่ เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๗ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา

                 โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พุ่ม ท่านมีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ๓ คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้าย มีโยมพี่สาว ๒ คน มีชื่อตามลำดับดังนี้  

๑ . พี่สาวชื่อ ทองคำ สุนิมิตร  

๒ . พี่สาวชื่อ สุ่ม พึ่งกุศล  

๓ . ตัวท่าน  

ปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้น  

                 ชีวิตในวัยเด็กของท่านดูจะขาด ความอบอุ่นอยู่มาก ด้วยกำพร้าบิดา มารดาตั้งแต่เยาว์วัย นายยวง พึ่งกุศล ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของท่าน ได้เล่าให้ฟังว่า บิดามารดา ของท่านมีอาชีพทำนา โดยนอกฤดูทำนาจะมีอาชีพทำขนมไข่มงคลขาย เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นเด็กทารก มีเหตุการณ์สำคัญที่ควรบันทึกไว้ คือในคืนวันหนึ่งซึ่งเป็นหน้าน้ำ ขณะที่บิดามารดาของท่านกำลังทอด“ขนมมงคล”อยู่นั้น ท่านซึ่งถูก วางอยู่บนเบาะนอกชานคนเดียว ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กลิ้งตกลงไปในน้ำ ทั้งคนทั้งเบาะแต่เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งที่ตัวท่านไม่จมน้ำ กลับลอยน้ำจนไปติดอยู่ข้างรั้วกระทั่งสุนัขเลี้ยงที่บ้านท่าน มาเห็นเข้าจึงได้เห่าพร้อมกับวิ่งกลับไปกลับมาระหว่างตัวท่านกับมารดาท่าน เมื่อมารดาท่านเดินตามสุนัขเลี้ยงออกมา จึงได้พบท่านลอยน้ำติดอยู่ที่ข้างรั้ว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มารดาท่านเชื่อมั่นว่าท่าน จะต้องเป็นผู้มีบุญวาสนามากมาเกิด  

                มารดาของท่านได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านยังเป็นทารกอยู่ ต่อมาบิดาของท่านก็จากไปอีกขณะท่านมีอายุได้เพียง ๔ ขวบเท่านั้น ท่านจึงต้องกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กจำความไม่ได้ ท่านได้อาศัยอยู่กับยายโดยมีโยมพี่สาวที่ชื่อ สุ่ม เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ และท่านก็ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ

 

สู่เพศพรหมจรรย์

              เมื่อท่านอายุได้ ๒๑ ปี ก็ได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันอาทิตย์แรม ๔ ค่ำ เดือน ๖ ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงพ่อ กลั่น เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ มีหลวงพ่อ แด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก ขณะนั้นเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีหลวงพ่อ ฉาย วัดกลางคลองสระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่าพรหมปัญโญ 

 ”             ในพรรษาแรกๆ นั้น ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรมซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่าวัดประดู่โรงธรรมโดยมีพระอาจารย์ผู้สอนคือท่านเจ้าคุณเนื่อง พระครูชม และ หลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น

                ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น ท่านได้ศึกษากับหลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นอุปัชฌาย์ และหลวงพ่อเภา ศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น ซึ่งมีศักดิ์ป็นอาของท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่สองประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๙ หลวงพ่อกลั่นมรณภาพ ท่านจึงได้ศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อเภา เป็นสำคัญ นอกจากนี้ท่านยัง ได้ศึกษาจากตำรับตำราที่มีอยู่จากชาดกบ้าง จากธรรมบทบ้างและด้วยความที่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้รักการศึกษา ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์อีกหลายท่านที่จังหวัดสุพรรณบุรี และสระบุรี

 

ประสบการณ์ธุดงค์  

               ประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๖ ออกพรรษาแล้วท่านก็เริ่ม ออกเดินธุดงค์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีเป้าหมายที่ป่าเขาทางแถบจังหวัดกาญจนบุรี และแวะนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น พระพุทธฉายและ รอยพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี จากนั้นท่านก็เดินธุดงค์ไปยังจังหวัดสิงห์บุรี สุพรรณบุรี จนถึงจังหวัดกาญจนบุรี จึงเข้าพักปฏิบัติตามป่าเขาและถ้ำต่างๆ      

               หลวงปู่ดู่ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าเริ่มแรกที่ท่านขวนขวายศึกษาและปฏิบัตินั้น แท้จริงมิได้มุ่งเน้นมรรคผลนิพพานหากแต่ต้องการเรียนรู้ให้ได้วิชาต่างๆ เป็นต้นว่าวิชาคงกระพันชาตรี ก็เพื่อที่จะสึกออกไปแก้แค้นพวกโจรที่ปล้นบ้าน โยมพ่อโยมแม่ท่านถึง ๒ ครั้ง แต่เดชะบุญ แม้ท่านจะสำเร็จวิชาต่าง ๆ ตามที่ตั้งใจไว้ท่านกลับได้คิด นึกสลดสังเวชใจตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์อาฆาตแค้นทำร้าย จิตใจ ตนเองอยู่เป็นเวลานับสิบ ๆ ปี ในที่สุท่านก็ได้ตั้งจิตอโหสิกรรมให้แก่โจรเหล่านั้น แล้ว มุ่งปฏิบัติฝึกฝน อบรมตน ตามทางแห่งศีล สมาธิ และปัญญา อย่างแท้จริง  

               ในระหว่างที่ท่านเดินธุดงค์อยู่นั้น ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าได้พบฝูงควายป่ากำลังเดินเข้ามาทางท่าน ท่านตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว หยุดยืนภาวนานิ่งอยู่ ฝูงควายป่าที่มุ่งตรงมาทางท่าน พอเข้ามาใกล้จะถึงตัวท่าน ก็กลับเดินทักษิณารอบท่านแล้วก็จากไป บางแห่งที่ท่านเดินธุดงค์ไปถึง ท่านมักพบกับพวกนักเลงที่ชอบลองของ ครั้งหนึ่งมีพวกนักเลงเอาปืนมายิงใส่ท่านขณะนั่งภาวนาอยู่ในกลด ท่านเล่าให้ฟังว่า พวกนี้ไม่เคารพพระ สนใจ แต่ “ของดี” เมื่อยิงปืนไม่ออก จึงพากันมาแสดงตัวด้วยความนอบน้อม พร้อมกับอ้อนวอนขอ “ ของดี ”ทำให้ท่านต้องออกเดินธุดงค์หนีไปทางอื่น

               การปฏิบัติของท่านในช่วงธุดงค์อยู่นั้น เป็นไปอย่างเอาจริงเอาจัง ยอมมอบกายถวายชีวิตไว้กับป่าเขา แต่สุขภาพธาตุขันธ์ของท่านก็ไม่เป็นใจเสียเลย บ่อยครั้งที่ท่านต้องเอาผ้ามาคาดที่หน้าผาก เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ อีกทั้งก็มีอาการเท้าชารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระนั้นท่านก็ยังไม่ละความเพียรสมดังที่ท่านเคย สอนลูกศิษย์ว่า นิพพานอยู่ฟากตาย ในการประพฤติปฏิบัตินั้น จำต้องยอมมอบกายถวายชีวิตลงไป ดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า ถ้ามันไม่ดีหรือไม่ได้พบความจริงก็

ให้มันตายถ้ามันไม่ตายก็ให้มันดี หรือได้พบกับความจริง ดังนั้น อุปสรรคต่างๆ จึงกลับเป็นปัจจัยช่วยให้จิตใจของผู้ปฏิบัติแข็งแกร่งขึ้นเป็นลำดับ

 

 

นิมิตธรรม

                อยู่มาวันหนึ่ง ประมาณก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เล็กน้อย หลังจากหลวง ปู่ดู่สวดมนต์ทำวัตรเย็น และปฏิบัติกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็จำวัด เกิดนิมิตไปว่า ได้ฉันดาวที่มีแสงสว่างมาก ๓ ดวง ในขณะที่กำลังฉันอยู่นั้นก็รู้สึกว่ากรอบๆ ดี ก็เลยฉันเข้าไปทั้งหมด แล้วจึงตกใจตื่น

              เมื่อท่านพิจารณาใคร่ครวญถึงนิมิตธรรมที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจขึ้น ว่าแก้ว ๓ ดวงนั้น ก็คือพระไตรสรณาคมน์นั่นเอง พอท่านว่า

            พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิ  ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นในจิตท่าน พร้อมกับอาการปีติอย่างท่วมท้น ทั้งเกิดความรู้สึกลึก ซึ้งและมั่นใจว่า พระไตรสรณาคมน์นี้แหล่ะเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดเอามาเป็นคำบริกรรมภาวนาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเน้นหนักที่การปฏิบัติ

              หลวงปู่ดู่ท่านให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนา ท่านว่าถ้าไม่เอา(ปฏิบัติ)เป็นเถ้าเสียดีกว่า ในสมัยก่อนเมื่อตอนที่ศาลาปฏิบัติธรรมหน้ากุฏิท่านยังสร้างไม่เสร็จนั้น ท่านก็เมตตาให้ใช้ห้องส่วนตัวที่ท่านใช้จำวัด เป็นที่รับรองสานุศิษย์และผู้สนใจได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งนับเป็นเมตตาอย่างสูง  

              สำหรับผู้ที่ไปกราบนมัสการท่านบ่อยๆ หรือมีโอกาสได้ฟังท่านสนทนาธรรม ก็คงจะได้เห็นกุศโลบายในการสอนของท่านที่จะโน้มน้าว ผู้ฟังให้วกเข้าสู่การปรับปรุงแก้ไขตนเอง เช่นครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์วิพากษ์วิจารณ์คนนั้นคนนี้ให้ท่านฟังใน เชิงว่ากล่าวว่า เป็นต้นเหตุของปัญหาและความยุ่งยาก แทนที่ท่านจะเออออไปตามอันจะทำให้เรื่องยิ่งบานปลายออกไป ท่านกลับปรามว่า เรื่องของคนอื่น เราไปแก้เขาไม่ได้ ที่แก้ได้คือตัวเรา แก้ข้างนอกเป็นเรื่องโลก แต่แก้ที่ตัวเรานี่เป็นเรื่องธรรม  ”  

              คำสอนของหลวงปู่ดู่จึงสรุปลงที่การใช้ชีวิตอย่างคนไม่ประมาทนั่นหมายถึงว่าสิ่งที่จะต้องเป็นไปพร้อมๆ กัน ก็คือ ความพากเพียรที่ลงสู่ภาคปฏิบัติ ในมรรควิถีที่เป็นสาระแห่งชีวิตของผู้ไม่ประมาท ดังที่ท่านพูดย้ำเสมอว่า หมั่นทำเข้าไว้ๆ

 

 

 

THAILAND AMULET CENTER |SING BURI OFFICE
19 หมู่ 4 ตำบลพักทัน อำเภอบางระจัน  จังหวัดสิงห์บุรี
 Tel: 66-061-7919125,66-093-3361995  whatapp:0933361995
http://www.buddhism-amulet.com/   e-mail:amuletcenter@hotmail.com
พระเครื่องเมืองสยาม| โดย พร บางระจัน:
236/2 หมู่ 5 ,ถนน เชียงใหม่ ลำพูน ,ตำบลยางเนิ้ง,อำเภิสารภี จังหวัดเชียงใหม่ 50140
 Tel: 66-061-7919125,66-093-3361995  whatapp:0933361995
http://www.buddhism-amulet.com/   e-mail:amuletcenter@hotmail.com
Copyright © 2006 Thailand Amulet Center. Website Terms of Use   |   Privacy Statement Find us on Youtube Facebook