ราคา
50,000.00
พระชัยวัฒน์ปี 2522
เป็นพระอีกรุ่นหนึ่งของหลวงปู่ดู่วัดสะแก
ที่มีเสน่ห์น่าค้นหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว
พระองค์พิเศษๆในตำนาน วันนี้มาศึกษาความรู้กันโดย
หลวงปู่ดู่ แชนแนล ครับ
ว่าในพระรุ่นนี้มีความสุดยอดอย่างไรบ้างครับ
ว่าด้วยพระชัยวัฒน์ปี2522องค์ในตำนาน
เป็นที่ทราบกันดีว่าพระชัยวัฒน์ปี 2522
ของหลวงปู่ดู่นั้นเป็นพระรุ่นที่มีการทยอยเก็บกันเงียบๆมานาน
เนื่องมาจากเป็นพระรุ่นที่หลวงปู่ดู่ท่านเมตตาจารให้ทุกองค์
แต่ยังมีราคาไม่แพง
ที่สำคัญคือของปลอมของเลียนแบบนั้นทำออกมาไม่ดี
หรือที่เรียกกันในวงการว่า "เก๊ห่าง"
พระรุ่นนี้จึงเป็นอีกรุ่นที่คาดการณ์กันว่ายังมีพื้นที่ในการสะสมบูชา
ในอนาคตจะต้องหายากมากแน่นอน
พระชัยวัฒน์รุ่นนี้นั้นจัดสร้างเป็นเนื้อเงินทั้งสิ้น
216 องค์ เนื้อโลหะผสม 3000 องค์
ทว่ามีพระที่มีการจัดสร้างไว้เป็นพิเศษไว้เช่นกัน
ซึ่งเป็นที่นิยมสะสมกันมาตั้งแต่สมัยมีการสะสมพระเครื่องหลวงปู่ดู่ในยุคแรกๆ
นั่นคือพระชัยอุดกริ่ง
และอุดผงพุทธคุณนั่นเอง
อนึ่ง
จากประสบการณ์ของผู้เขียนพระชัยวัฒน์ปี2522
หากเป็นเนื้อเงินแบบพิเศษจะพบมากที่เป็นก้นอุดผงพุทธคุณในองค์ที่มีที่ว่างบริเวณใต้ฐานหลวงปู่ดู่ท่านจะเมตตาจารให้เป็นพิเศษ
ส่วนเนื้อโลหะผสมจะเป็นการอุดกริ่งเสียส่วนมาก
เมื่อเขย่าจะมีเสียงดัง (ในองค์ที่ไม่ดังอาจเกิดจากเม็ดกริ่งไปติดอยู่ตามซอกต่างในองค์พระก็เป็นได้)
พระชัยวัฒน์เนื้อโลหะผสมปี 2522
แบบอุดกริ่งนั้นหลวงปู่ดู่ท่านจะเมตตาจารใต้ฐานอย่างเป็นพิเศษ
เรียกได้ว่าจารแบบอลังการสุดๆ
บางองค์มีการตอกโค้ดกำกับเรียกได้ว่าเป็นที่สุดแห่งวัตถุมงคลของท่านอีกรุ่น
จำนวนการสร้างพระชัยวัฒน์อุดผง
และอุดกริ่งนั้นสร้างไว้จำนวนน้อยมาก
หมุนเวียนในวงการในรอบสิบปีที่ผ่านมานั้นแทบนับองค์ได้
วันนี้หลวงปู่ดู่แชนแนลได้นำภาพที่ได้เก็บรวมรวมไว้มาลงให้ได้ชมกัน
พร้อมกับพระชัยก้นอุดกริ่งเนื้อโลหะผสมตอกโค้ด
จารพิเศษ องค์หน้าใหม่ของวงการ
ซึ่งเป็นพระที่สวยสุดยอด
หลวงปู่ดู่แชนแนลขอกราบขอบพระคุณท่านเจ้าของพระทุกองค์ที่ได้นำมาให้ข้อมูลความรู้ในวันนี้เนื่อมาจากพระทุกองค์นั้นมีผู้ที่มีบารมีเหมาะสมได้บูชาไปแล้วทั้งสิ้น
จึงกราบขออนุญาตทุกท่านนำภาพมาลงเป็นวิทยาทาน
ประวัติหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
ชาติภูมิ
พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่
พรหมปัญโญ มีชาติกำเนิดในสกุล “หนูศรี”
เดิม ชื่อ ดู่ เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน
พ.ศ. ๒๔๔๗ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ
เดือน ๖ ปีมะโรง ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา ณ
บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย
จังหวัด พระนครศรีอยุธยา
โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ
พุ่ม ท่านมีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ๓ คน
ท่านเป็นบุตรคนสุดท้าย มีโยมพี่สาว ๒ คน
มีชื่อตามลำดับดังนี้
๑ . พี่สาวชื่อ ทองคำ สุนิมิตร
๒ . พี่สาวชื่อ สุ่ม พึ่งกุศล
๓ . ตัวท่าน
ปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้น
ชีวิตในวัยเด็กของท่านดูจะขาด
ความอบอุ่นอยู่มาก ด้วยกำพร้าบิดา
มารดาตั้งแต่เยาว์วัย นายยวง พึ่งกุศล
ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของท่าน
ได้เล่าให้ฟังว่า บิดามารดา
ของท่านมีอาชีพทำนา
โดยนอกฤดูทำนาจะมีอาชีพทำขนมไข่มงคลขาย
เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นเด็กทารก
มีเหตุการณ์สำคัญที่ควรบันทึกไว้
คือในคืนวันหนึ่งซึ่งเป็นหน้าน้ำ
ขณะที่บิดามารดาของท่านกำลังทอด“ขนมมงคล”อยู่นั้น
ท่านซึ่งถูก วางอยู่บนเบาะนอกชานคนเดียว
ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กลิ้งตกลงไปในน้ำ
ทั้งคนทั้งเบาะแต่เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งที่ตัวท่านไม่จมน้ำ
กลับลอยน้ำจนไปติดอยู่ข้างรั้วกระทั่งสุนัขเลี้ยงที่บ้านท่าน
มาเห็นเข้าจึงได้เห่าพร้อมกับวิ่งกลับไปกลับมาระหว่างตัวท่านกับมารดาท่าน
เมื่อมารดาท่านเดินตามสุนัขเลี้ยงออกมา
จึงได้พบท่านลอยน้ำติดอยู่ที่ข้างรั้ว
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มารดาท่านเชื่อมั่นว่าท่าน
จะต้องเป็นผู้มีบุญวาสนามากมาเกิด
มารดาของท่านได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านยังเป็นทารกอยู่
ต่อมาบิดาของท่านก็จากไปอีกขณะท่านมีอายุได้เพียง
๔ ขวบเท่านั้น
ท่านจึงต้องกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กจำความไม่ได้
ท่านได้อาศัยอยู่กับยายโดยมีโยมพี่สาวที่ชื่อ
สุ่ม เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่
และท่านก็ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลางคลองสระบัว
วัดประดู่ทรงธรรม
และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ
สู่เพศพรหมจรรย์
เมื่อท่านอายุได้
๒๑ ปี
ก็ได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันอาทิตย์แรม ๔ ค่ำ
เดือน ๖ ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงพ่อ
กลั่น เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม
เป็นพระอุปัชฌาย์ มีหลวงพ่อ แด่
เจ้าอาวาสวัดสะแก
ขณะนั้นเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีหลวงพ่อ
ฉาย วัดกลางคลองสระบัว
เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า“พรหมปัญโญ”
” ในพรรษาแรกๆ
นั้น
ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรมซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่าวัดประดู่โรงธรรมโดยมีพระอาจารย์ผู้สอนคือท่านเจ้าคุณเนื่อง พระครูชม
และ หลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น
ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น
ท่านได้ศึกษากับหลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นอุปัชฌาย์
และหลวงพ่อเภา
ศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น
ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน
เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่สองประมาณปลายปี
พ.ศ. ๒๔๖๙ หลวงพ่อกลั่นมรณภาพ
ท่านจึงได้ศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อเภา
เป็นสำคัญ นอกจากนี้ท่านยัง
ได้ศึกษาจากตำรับตำราที่มีอยู่จากชาดกบ้าง
จากธรรมบทบ้างและด้วยความที่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้รักการศึกษา
ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์อีกหลายท่านที่จังหวัดสุพรรณบุรี
และสระบุรี
ประสบการณ์ธุดงค์
ประมาณเดือนพฤศจิกายน
พ.ศ.๒๔๘๖ ออกพรรษาแล้วท่านก็เริ่ม
ออกเดินธุดงค์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
โดยมีเป้าหมายที่ป่าเขาทางแถบจังหวัดกาญจนบุรี
และแวะนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
เช่น พระพุทธฉายและ รอยพระพุทธบาท
จังหวัดสระบุรี
จากนั้นท่านก็เดินธุดงค์ไปยังจังหวัดสิงห์บุรี สุพรรณบุรี
จนถึงจังหวัดกาญจนบุรี
จึงเข้าพักปฏิบัติตามป่าเขาและถ้ำต่างๆ
หลวงปู่ดู่
ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าเริ่มแรกที่ท่านขวนขวายศึกษาและปฏิบัตินั้น
แท้จริงมิได้มุ่งเน้นมรรคผลนิพพานหากแต่ต้องการเรียนรู้ให้ได้วิชาต่างๆ เป็นต้นว่าวิชาคงกระพันชาตรี
ก็เพื่อที่จะสึกออกไปแก้แค้นพวกโจรที่ปล้นบ้าน
โยมพ่อโยมแม่ท่านถึง ๒ ครั้ง แต่เดชะบุญ
แม้ท่านจะสำเร็จวิชาต่าง ๆ
ตามที่ตั้งใจไว้ท่านกลับได้คิด
นึกสลดสังเวชใจตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์อาฆาตแค้นทำร้าย
จิตใจ ตนเองอยู่เป็นเวลานับสิบ ๆ ปี
ในที่สุดท่านก็ได้ตั้งจิตอโหสิกรรมให้แก่โจรเหล่านั้น
แล้ว มุ่งปฏิบัติฝึกฝน อบรมตน
ตามทางแห่งศีล สมาธิ และปัญญา
อย่างแท้จริง
ในระหว่างที่ท่านเดินธุดงค์อยู่นั้น
ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าได้พบฝูงควายป่ากำลังเดินเข้ามาทางท่าน
ท่านตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
หยุดยืนภาวนานิ่งอยู่
ฝูงควายป่าที่มุ่งตรงมาทางท่าน
พอเข้ามาใกล้จะถึงตัวท่าน
ก็กลับเดินทักษิณารอบท่านแล้วก็จากไป
บางแห่งที่ท่านเดินธุดงค์ไปถึง
ท่านมักพบกับพวกนักเลงที่ชอบลองของ
ครั้งหนึ่งมีพวกนักเลงเอาปืนมายิงใส่ท่านขณะนั่งภาวนาอยู่ในกลด
ท่านเล่าให้ฟังว่า พวกนี้ไม่เคารพพระ สนใจ
แต่ “ของดี” เมื่อยิงปืนไม่ออก
จึงพากันมาแสดงตัวด้วยความนอบน้อม
พร้อมกับอ้อนวอนขอ “ ของดี
”ทำให้ท่านต้องออกเดินธุดงค์หนีไปทางอื่น
การปฏิบัติของท่านในช่วงธุดงค์อยู่นั้น
เป็นไปอย่างเอาจริงเอาจัง
ยอมมอบกายถวายชีวิตไว้กับป่าเขา
แต่สุขภาพธาตุขันธ์ของท่านก็ไม่เป็นใจเสียเลย
บ่อยครั้งที่ท่านต้องเอาผ้ามาคาดที่หน้าผาก
เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ
อีกทั้งก็มีอาการเท้าชารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
แม้กระนั้นท่านก็ยังไม่ละความเพียรสมดังที่ท่านเคย
สอนลูกศิษย์ว่า “นิพพานอยู่ฟากตาย” ในการประพฤติปฏิบัตินั้น
จำต้องยอมมอบกายถวายชีวิตลงไป
ดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “ถ้ามันไม่ดีหรือไม่ได้พบความจริงก็
ให้มันตายถ้ามันไม่ตายก็ให้มันดี
หรือได้พบกับความจริง” ดังนั้น
อุปสรรคต่างๆ
จึงกลับเป็นปัจจัยช่วยให้จิตใจของผู้ปฏิบัติแข็งแกร่งขึ้นเป็นลำดับ
นิมิตธรรม
อยู่มาวันหนึ่ง
ประมาณก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เล็กน้อย
หลังจากหลวง ปู่ดู่สวดมนต์ทำวัตรเย็น
และปฏิบัติกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็จำวัด
เกิดนิมิตไปว่า ได้ฉันดาวที่มีแสงสว่างมาก
๓ ดวง
ในขณะที่กำลังฉันอยู่นั้นก็รู้สึกว่ากรอบๆ
ดี ก็เลยฉันเข้าไปทั้งหมด แล้วจึงตกใจตื่น
เมื่อท่านพิจารณาใคร่ครวญถึงนิมิตธรรมที่เกิดขึ้น
ก็เกิดความเข้าใจขึ้น ว่าแก้ว ๓ ดวงนั้น
ก็คือพระไตรสรณาคมน์นั่นเอง พอท่านว่า
“พุทธัง
สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ,
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นในจิตท่าน
พร้อมกับอาการปีติอย่างท่วมท้น
ทั้งเกิดความรู้สึกลึก ซึ้งและมั่นใจว่า
พระไตรสรณาคมน์นี้แหล่ะเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา
ท่านจึงกำหนดเอามาเป็นคำบริกรรมภาวนาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเน้นหนักที่การปฏิบัติ
หลวงปู่ดู่ท่านให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนา
ท่านว่า“ถ้าไม่เอา(ปฏิบัติ)เป็นเถ้าเสียดีกว่า” ในสมัยก่อนเมื่อตอนที่ศาลาปฏิบัติธรรมหน้ากุฏิท่านยังสร้างไม่เสร็จนั้น
ท่านก็เมตตาให้ใช้ห้องส่วนตัวที่ท่านใช้จำวัด
เป็นที่รับรองสานุศิษย์และผู้สนใจได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม
ซึ่งนับเป็นเมตตาอย่างสูง
สำหรับผู้ที่ไปกราบนมัสการท่านบ่อยๆ
หรือมีโอกาสได้ฟังท่านสนทนาธรรม
ก็คงจะได้เห็นกุศโลบายในการสอนของท่านที่จะโน้มน้าว
ผู้ฟังให้วกเข้าสู่การปรับปรุงแก้ไขตนเอง
เช่นครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์วิพากษ์วิจารณ์คนนั้นคนนี้ให้ท่านฟังใน
เชิงว่ากล่าวว่า
เป็นต้นเหตุของปัญหาและความยุ่งยาก
แทนที่ท่านจะเออออไปตามอันจะทำให้เรื่องยิ่งบานปลายออกไป
ท่านกลับปรามว่า “เรื่องของคนอื่น
เราไปแก้เขาไม่ได้ ที่แก้ได้คือตัวเรา
แก้ข้างนอกเป็นเรื่องโลก
แต่แก้ที่ตัวเรานี่เป็นเรื่องธรรม” ”
คำสอนของหลวงปู่ดู่จึงสรุปลงที่การใช้ชีวิตอย่างคนไม่ประมาทนั่นหมายถึงว่าสิ่งที่จะต้องเป็นไปพร้อมๆ
กัน ก็คือ ความพากเพียรที่ลงสู่ภาคปฏิบัติ
ในมรรควิถีที่เป็นสาระแห่งชีวิตของผู้ไม่ประมาท
ดังที่ท่านพูดย้ำเสมอว่า “หมั่นทำเข้าไว้ๆ”